ปัจจุบัน “Essential oil หรือน้ำหอมหอมระเหย” และศาสตร์ของ Aromatherapy ที่ใช้กลิ่นบำบัดเพื่อความผ่อนคลาย เริ่มเป็นที่นิยมในบ้านเรามากขึ้น หลายคนอาจมีคำถามเกี่ยวกับการเลือกซื้อน้ำมันหอมระเหยที่มีคุณภาพ ทำไมน้ำมันชนิดเดียวกันให้กลิ่นต่างกัน เรามั่นใจได้อย่างไรว่าน้ำมันที่เราเลือกซื้อเป็นธรรมชาติ 100% และอะไรคือตัวกำหนดราคาของน้ำมันหอมระเหยแต่ละชนิด เรามาหาคำตอบไปพร้อมๆ กันเลย
น้ำมันหอมระเหยชนิดเดียวกัน แต่กลิ่นไม่เหมือนกัน
น้ำมันหอมระเหยที่มาจากพืชตัวเดียวกันแต่ปลูกต่างที่กัน มักจะมีคุณภาพที่แตกต่างกันด้วย อธิบายแบบง่ายๆ คือ ส้มบางมดเคยปลูกที่บางมดเมื่อ 30 ปีก่อน ต่อมาเมื่อเมืองขยายตัว บริเวณที่ปลูกส้มบางมดกลายเป็นบ้านจัดสรร มีคนเอาส้มบางมดไปปลูกที่รังสิตกลายเป็นส้มรังสิต ถึงแม้เมล็ดตัวตั้งต้นจะเป็นส้มบางมด แต่เมื่อไปปลูกที่รังสิตรสชาดตลอดจนส่วนประกอบต่างๆของส้มก็จะเปลี่ยนไป ถ้าเราเอาเปลือกส้มบางมดไปสกัดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ได้จะเป็นกลิ่นที่คล้ายแต่ไม่เหมือนเปลือกส้มรังสิต
นอกจากเคสของการสกัดน้ำมันจากเปลือกส้มส้มข้างต้นแล้ว ในบรรดาส้มทั้งหลายแหล่ ยังมีการแบ่งเป็น Sweet orange (ส้มหวาน), Tangerine (ส้มเขียวหวาน) และ Mandarin (ส้มจีน) น้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากส้มทั้งสามชนิด มีกลิ่นที่คล้ายกัน แต่มีคุณสมบัติที่ต่างกันเล็กน้อย ยังไม่รวม Pomelo (ส้มโอ) ที่มีชื่อที่ต่างกันแต่มีกลิ่นที่คล้ายกัน
ตามที่กล่าวข้างต้น แหล่งปลูกพืชพรรณเพื่อผลิตน้ำมันหอมระเหยต่างๆทั่วโลก จะให้ผลผลิตที่มีคุณสมบัติต่างกัน ขึ้นกับสภาพอากาศและสารอาหารในดิน เช่น Lavender ที่ดีที่สุดคือ Lavender ที่ปลูกในฝรั่งเศสและออสเตรเลีย Tea Tree ที่ดีที่สุดคือ Australian Tea Tree เป็นต้น
ทำไมราคาน้ำมันแต่ละชนิดจึงต่างกัน
ราคาของน้ำมันหอมระเหยขึ้นอยู่กับความยากง่ายในการสกัดน้ำมันของพืชพรรณแต่ละชนิด พืชบางชนิดมีปริมาณน้ำมันในตัวมากสามารถสกัดน้ำมันออกมาได้ง่ายจึงมีราคาถูก ซึ่งจะพบมากในผลไม้ตระกูล citrus เช่นเวลาที่เราปอกส้มหรือหั่นมะนาวจะมีน้ำมันหอมระเหยซึมออกมาจากเปลือกพร้อมกลิ่นหอมสดชื่นฟุ้งกระจายไปทั่ว
ในขณะที่ดอกไม้ส่วนใหญ่จะมีน้ำมันค่อนข้างน้อยหรือแทบไม่มีเลย เช่น ดอกกุหลาบ ดอกมะลิ ดอกลีลาวดี ดอกบัว กลีบของดอกไม้เหล่านี้จะมีน้ำมันในระดับอณู ว่ากันว่า กว่าจะสกัดน้ำมันหอมระเหยกุหลาบได้ต้องใช้กลีบกุหลาบจำนวนประมาณ 4,000 กิโลกรัม หรือ 4 ตันเพื่อให้ได้น้ำมันกุหลาบ 1 กิโลกรัม (ราคาประมาณ 300,000 บาท) หรือใช้กลีบดอกมะลิน้ำหนักกว่า 1,000 กิโลกรัมเพื่อสกัดน้ำมันหอมระเหยมะลิ 1 กิโลกรัม (ราคาประมาณ 80,000 บาท) จึงทำให้น้ำมันหอมจากดอกไม้เหล่านี้มีราคาแพงมาก
คุณภาพของน้ำมันหอมระเหย
คุณภาพของน้ำมันหอมระเหยขึ้นอยู่กับสถานที่ปลูก ลักษณะดิน ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ วิธีการเพาะปลูก ฤดูกาลเก็บเกี่ยว สิ่งปนเปื้อน ตลอดจนวิธีการเก็บรักษา ล้วนส่งผลต่อคุณภาพน้ำมันทั้งสิ้น น้ำมันหอมระเหยที่มีจำหน่ายในปัจจุบัน ส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศในแถบยุโรป เช่น ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย อินเดีย ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยจะปลูกและสกัดน้ำมันหอมระเหยได้เฉพาะบางกลิ่นเท่านั้น เช่น ตะไคร้บ้าน (Lemongrass) ตะไคร้หอม (Citronella) และยูคาลิปตัส (Eucalyptus)
น้ำมันหอมระเหย AKALIKO เป็นน้ำมันนำเข้าจากต่างประเทศ เราได้คัดสรรน้ำมันหอมคุณภาพจากแหล่งเพาะปลูกชั้นเลิศที่ได้ชื่อว่าผลิต Essential Oil ที่ดีที่สุดเช่น Orange 5 folds oil, Bergamot oil นำเข้าจากประเทศที่ปลูกพืช Citrus ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกคืออิตาลี Lavender oil จากฝรั่งเศส Lemongrass oil จากศรีลังกา Peppermint Premium oil ที่สกัดจากอินเดีย เป็นต้น นอกจากนี้เรายังเลือกนำเข้าน้ำมันหอมระเหยที่ถูกสกัดด้วยระบบกลั่นไอน้ำ (Steam Distillation) หรือระบบสกัดเย็น (Cold Pressed) เท่านั้น น้ำมันที่ได้จึงมีความบริสุทธิ์เป็น pure essential oil 100% โดยไม่มีสิ่งปนเปื้อนจากสารเคมีที่อื่นๆ
อ่านเพิ่มเติม : มาทำความรู้จัก “น้ำมันหอมระเหย (Pure Essential Oil)” กันดีกว่า (ตอนที่ 1)